สงเคราะห์โลงศพฟรี สงเคราะห์เผาศพฟรี สงเคราะห์ลอยอังคารฟรี แก่ผู้ยากไร้ไร้ญาติ


พระอรหันต์เก๊

ในปัจจุบันนี้ได้มีนักบวชหลายรูป พยายามจะสถาปนาตนขึ้นเป็นพระอรหันต์กันมากขึ้น ต่างพากันคิดค้นวิธีการแปลกๆ แหวกแนว เพื่อจะได้แหกตาชาวบ้านผู้โง่เขลาให้เอาอสรพิษมาประเคนตน ที่พยายามจะเป็นให้สูงกว่าพระอรหันต์ก็มี โดยอ้างว่าตนเองแบ่งภาคมาจากพระพุทธเจ้าบ้าง เป็นต้นธาตุต้นธรรมบ้าง และที่ดุจะเหนือกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก ถึงขนาดเรียกพระพุทธเจ้าว่า “สิทธัตถะ” ซึ่งเป็นพระนามก่อนตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็มี เขาก็ยังกล้าเรียกได้เต็มปาก อะพิโธ่เอ๊ย ! นรกเสวยกระบาลอยู่ทุกวัน ยังหาได้รู้สึกตัวไม่ ?

เพื่อเป็นอนุสติแด่โยมๆ ทั้งหลาย จะได้หูตาสว่างเสียที จึงขอคัดเอาเรื่อง “พระอรหันต์ตุ่ม” และ “พระอรหันต์ย่านไทร” ในหนังสือ “สาระสำคัญแห่งมงคล ๓๘” ของอาจารย์วศิน อินทรสระ มาลงไว้ดังนี้


เรื่องพระอรหันต์ตุ่ม

คนโกหกผู้หนึ่งได้ฝังตุ่มไว้ในห้อง เมื่อคนมาหาก็เข้าไปหลบซ่อนเสียในตุ่ม มนุษย์ทั้งหลายเข้าไปในห้องไม่เห็น ก็ออกมาถามพวกศิษย์ว่า “พระคุณเจ้าท่านไปไหน ในห้องไม่มี ?”

พวกศิษย์บอกว่า “ท่านอยู่ในห้อง ไม่ได้ไปไหนเลย”

พวกมนุษย์ก็เข้าไปอีกครั้งหนึ่ง (ขณะนั้นคนลวงโลกออกจากตุ่มแล้ว) จึงเห็นพระคุณเจ้านั่งอยู่บนเตียงหรือตั่งจึงกล่าวว่า “พระคุณเจ้า เมื่อครู่นี้เอง พวกข้าพเจ้าเข้ามาไม่เห็นพระคุณเจ้า จึงออกไป, ท่านไปไหน ?”

มนุษย์หลอกลวงผู้นั้น ย่อมแสดงอาการดุจดังพระขีณาสพว่า “สมณะทั้งหลายย่อมไปสู่ที่อันตนปรารถนา”
เรื่องพระอรหันต์ย่านไทร

มีสมณะหลอกลวงอีกผู้หนึ่ง อยู่ในบรรณศาลาใกล้ภูเขาลูกหนึ่ง ข้างหลังบรรณศาลามีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งย่านของมันยื่นออกไปไกล ปลายไปจรดดินอีกแห่งหนึ่ง เมื่อมนุษย์ทั้งหลายไปตามทางคนเดินถึงบรรณศาลานิมนต์คนโกหกนั้น เขาจะลงทางย่านไทร จึงถึงประตูบ้านของผู้นิมนต์ก่อน

เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย ผู้มาภายหลังเห็นท่าน และถามว่า “ท่านมาอย่างไร ?”

เขาตอบว่า “ขึ้นชื่อว่าทางมาของสมณะทั้งหลายไม่ควรจะถามสมณะย่อมไปสู่ที่ๆ ตนปรารถนานั่นแล”

ครั้งนั้น มีคนๆ หนึ่งคอยสังเกตดู เห็นสมณะผู้นั้นลงไปทางย่านไทร วันต่อมาเขาจึงตัดย่านไทรนั้นให้คอดกิ่วเอาไว้เมื่อคนมานิมนต์ สมณะหลอกลวงนั้นก็ลงทางย่านไทรเหมือนเคยย่านไทรขาดจึงตกลงไปบาตรแตกกระจาย เขารู้ว่ามนุษย์ทั้งหลายคงจะรู้ความลับแล้ว จึงได้รีบหลบหนีไป

ส่วนเสริม

เรื่องทั้งสองนี้ ช่างเหมาะสมกับสมัยนี้ยิ่งนัก จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองก็ตาม จากผู้ที่รู้จักและน่าเชื่อถือถ้อยคำเล่าให้ฟังก็ตาม มีข้อมูลตรงกันว่า ยุคนี้มีผู้ที่อวดตัวเป็นพระอรหันต์กันมากขึ้น แม้ว่า “วิธีการ” ที่หลอกลวงนั้นจะแตกต่างกับ “พระอรหันต์ตุ่ม” และ “พระอรหันต์ย่านไทร” ก็ตามที แต่ว่า “หลักการ” ก็เหมือนกัน
กล่าวคือ เป็นบุคคลประเภท “น้ำเน่า” แต่พยายามปกปิดความเน่าไว้และเอาสิ่งที่ “หอมนอก” มาฉาบทาไว้ให้คนหลงผิด เพื่อหลอกคนอ่อนปัญญา ซึ่งก็ได้ผลอยู่เพราะชาวพุทะเราส่วนมากจะ “อ่อนปัญญา” อยู่แล้ว พอเห็นพระรูปใดทำเคร่งๆ ขรึมๆ มีอาการอะไรแปลกๆ เพี้ยนๆ บ๊องๆ ก็เหมาเอาว่าท่านเป็น “อริยะ” แล้ว เป็นต้น

ถ้าเป็นพระอริยะประเภทพระอรหันต์ด้วยแล้ว ท่านจะไม่ทำอะไรเพี้ยนๆ เป็นแน่ เช่น ไม่เสกดอกบัว ไม่เหยียบผ้าเช็ดหน้าให้คนโง่เอา (ขี้ตีน) ไปบูชา ไม่ให้เขาเอาน้ำล้าง (ขี้ฟัน) ปากหรือน้ำเยี่ยวไปกินแก้โรค (ที่จริงอาจเพิ่มโรค) ไม่พ่นยันต์ (น้ำลาย) เกราะเพชรให้เกิดสิริ (อัป) มงคล ไม่อุตริฉันอาหารเจ….. เป็นต้น พระอริยะเจ้าท่านไม่ทำสิ่งเหล่านี้แน่ เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยให้คนดับทุกข์หรือพ้นทุกข์ไม่ได้ แต่กลับยิ่งจะทำให้เขางมงาย และดูหมิ่นศักยภาพของตนเอง ไม่หวังพึ่งตนเองมากยิ่งขึ้น

พระอรหันต์แท้ท่านย่อมมีแต่เมตตาที่ประกอบด้วยปัญญาเต็มเปี่ยม ท่านหวังที่จะช่วยให้สัตว์โลกพ้นทุกข์มิใช่จะช่วยซ้ำเติมให้เขาหลงงมงายยิ่งขึ้น ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้ก็มีเฉพาะแต่ผู้ที่มีจิตลามก มีกิเลสหนาและตัณหาเต็มพุงเท่านั้นแหละ !
สาระจากเรื่องนี้ ให้แง่คิดแก่เราว่า

อันการที่เราจะให้ความเคารพ ศรัทธาหรือเลื่อมใสในผู้ใดนั้น ก็ควรที่จะมี “ปัญญา” นำหน้าอยู่เสมอไป จึงจะได้ไม่เกิดความชอกช้ำใจในภายหลัง โดยเฉพาะควร “จับตา” ดูลูกชาวบ้านที่โกนหัวนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ที่มีอาการแปลกประหลาดนอกพระธรรมวินัย จะต้องระวังให้จงหนัก เพราะเขาอาศัยคราบผ้าเหลืองจึงสามารถ “หลอก” ได้สนิทและลึกซึ้งยิ่งนัก บางคนก็ไม่รู้ตัวเลยหรือบางคนกว่าจะรู้ก็สาย (หมดตัว) เสียแล้ว !

ชาวพุทธสัมมาทิฐิ จึงต้องร่วมมือกันสร้างภูมิคุ้มกันและรีบกำจัด “มะเร็งศาสนา” หรือ “โรคเอดส์เหลือง” เสียโดยเร็ว เพราะเป็นอันตรายร้ายแรงกว่าโรคเอดส์ธรรมดาหลายเท่านัก ! โรคเอดส์ธรรมดาทำลายภูมิคุ้มกันเฉพาะทางรูปธรรมร่างกายเท่านั้น แต่..... โรคเอดส์เหลืองทำลายภูมิคุ้มกันทางนามธรรม (ฝ่ายดี)

โรคเอดส์ แม้ว่าจะเป็นโรคที่ร้ายแรงเพียงใด มันก็ทำลายได้แต่เฉพาะร่างกายเท่านั้น หาได้ลุกลามไปถึงจิตใจไม่ และตายไปแล้วก็ไม่เป็นเหตุให้คนที่เป็นโรคนี้ต้องตกนรกแต่ประการใด ส่วนโรคเอดส์เหลืองนั้น มันได้ทำลายภูมิคุ้มกันทางนามธรรม คือ ความศรัทธาและเลื่อมใสที่มีต่อ “สมมติสงฆ์” ให้หมดสิ้นไป เป็นการตัดทางบุญทางกุศลโดยสิ้นเชิง มีผลให้ผู้ติดโรคนี้แล้วต้องตกนรกทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไปอีกด้วย

โรคเอดส์เหลือง จึงเป็นโรคที่ทำลายเชื้อนามธรรมฝ่ายบวกให้หมดสิ้นไป โดยอาศัยนักบวชทุศีลหรือเหล่าอลัชชีเป็นพาหะ นำพามาสู่พุทธบริษัทที่อ่อนปัญญา ด้วยอุบายอันลามกต่างๆ นานา

วิธีที่จะทำลายเชื้อโรคเอดส์เหลือง มีทางทำได้ ๒ แบบ คือ รับกับรุก ดังนี้

รับ ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันไว้ต้านก่อน ภูมิคุ้มกันที่ว่านี้ก็ได้จากการศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง พระไตรปิฎกจัดว่าเป็นคู่มือทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ ที่นับว่ายอดเยี่ยมที่สุด

รุก ด้วยการช่วยกันกำจัดแหล่งที่แพร่เชื้อโดยเร็วอย่ารอให้ระบาดออกมาด้วยการสร้างค่านิยม ที่มีความรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนาร่วมกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เชื้อโรคนี้เกิดจากคนขาดศีลและปัญญา การแก้ไขเรื่องนี้ให้สิ้นซากจึงต้องรณรงค์ให้ชาวพุทธมีศีล ๕ และปลูกปัญญาให้เกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน

ข้อควรสังวร ตัวท่านผู้อ่านเองก็เถอะ อย่ามัวเที่ยวรณรงค์ให้คนอื่นเขารักษาศีล จนตัวท่านลืมรักษาศีลไปพร้อมกันด้วยก็แล้วกัน เดี๋ยวตัวท่านจะกลายเป็นพาหะของโรค “เอดส์เหลือง” ไปเสียเอง !

 

อานิสงส์แห่งศีล

๑. ผู้มีศีลย่อมมีมิตรมาก
๒. ผู้มีศีลย่อมได้รับการสรรเสริญ
๓. ศีลเป็นเบื้องต้น เป็นที่ตั้ง และเป็นบ่อเกิดของความดีทั้งปวง
๔. ศีลเป็นประธานแห่งสิ่งทั้งปวง
๕. การระวังศีล เป็นเครื่องกั้นความชั่ว ทำจิตให้ร่าเริงเป็นทางไปสู่พระนิพพาน
๖. ศีลเป็นกำลังหาที่เปรียบมิได้
๗. ศีลเป็นอาวุธอันประเสริฐ
๘. ศีลเป็นเครื่องประดับอันประเสริฐ
๙. ศีลเป็นเกราะป้องกันตัวอย่างน่าอัศจรรย์
๑๐. ศีลเป็นสะพาน เป็นมหาอำนาจ
๑๑. ศีลมีกลิ่นหอมอย่างยอดเยี่ยม
๑๒. ศีลเป็นเครื่องลูบไล้อันประเสริฐ
๑๓. ศีลเป็นกำลังอย่างเลิศ
๑๔. ศีลเป็นเสบียงชั้นเยี่ยม
๑๕. ศีลเป็นพาหนะอันยอดเยี่ยม

สีลวเถรคาถา ๒๖/๓๕๒


พระพุทธพจน์

อานิสงค์แห่งศีลสมบัติ

“ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย ! อานิสงค์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ๕ ประการเหล่านี้ ๕ ประการเป็นไฉน ? คือ คนมีศีลถึงพร้อมแล้วด้วยศีล ย่อมได้รับกองโภคะใหญ่ อันมีความไม่ประมาทเป็นเหตุ อันนี้เป็นอานิสงค์ข้อที่หนึ่งแห่งศีลสมบัติของคนมีศีล

อีกข้อหนึ่ง กิตติศัพท์อันงามของคนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมขจรไป อันนี้เป็นอานิสงค์ข้อที่สองแห่งศีลสมบัติของคนมีศีล

อีกข้อหนึ่ง คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล จะเข้าไปสู่บริษัทใดๆ คือ ขัตติยบริษัท พรหมณ์บริษัท คฤหบดีบริษัท หรือสมณะบริษัทย่อมองอาจไม่เก้อเขิน อันนี้เป็นอานิสงค์ข้อที่สามแห่งศีลสมบัติของคนมีศีล

อีกข้อหนึ่ง คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมไม่หลงทำกาละ อันนี้เป็นอานิสงค์ข้อที่สี่แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล

อีกข้อหนึ่ง คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล จะเข้าไปสู่บริษัทใดๆ คือ ขัตติยบริษัท พรหมณ์บริษัท คฤหบดีบริษัท หรือสมณะบริษัทย่อมองอาจไม่เก้อเขิน อันนี้เป็นอานิสงค์ข้อที่ห้าแห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ฯ”

มหาปรินิพพานสูตร ๑๐/๙๑


ศีลเกิดด้วยลักษณะ ๕

การละ ชื่อว่า ศีล
การเว้น ชื่อว่า ศีล
การเจตนา ชื่อว่า ศีล
การสำรวม ชื่อว่า ศีล
การไม่ก้าวล่วง ชื่อว่า ศีล

ญาณกถา ๓๑/๔๓

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-dhammaraksa/-16.html