สงเคราะห์โลงศพฟรี สงเคราะห์เผาศพฟรี สงเคราะห์ลอยอังคารฟรี แก่ผู้ยากไร้ไร้ญาติ


ตัดนิ้วตัดหูแต่ไม่ตัดโกรธ

ที่ถ้ำเขาลูกช้าง ชายแดนไทยมาเลย์เซีย มีพระรูปหนึ่งเชื้อสายสิงคโปร์แต่มาบวชในนิกายเถรวาท ส่วนการประพฤติปฏิบัตินั้น ท่านได้ลอกเลียนแบบของมหายานมาเกือบทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การฉันอาหารเจ ทำไร่ ปลูกผัก ผลไม้ไว้กินเองอย่างมากมาย เวลาสวดมนต์ก็มีการตีฆ้องเป็นจังหวะไปด้วย ภายในถ้ำก็ตกแต่งเสียหรูหรา ราคาหลายสิบล้านจัดทำเป็นห้องหับสวยงามถึงร้อยห้อง อย่าไปรู้เลยว่าท่านชื่ออะไร ท่านที่เคยไปท่องเที่ยวภาคใต้ ก็คงได้ไปพบเห็นกันมาแล้ว เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อ (แต่ผู้เขียนยังไม่เคยไปและไม่คิดจะไปด้วย) เอาเป็นว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ก็แล้วกัน พระที่คุ้นเคยกันกับผู้เขียน ท่านเคยไปอยู่มานานเล่าให้ฟังว่า พระเชื้อสายสิงคโปร์ท่านนี้ ถ้ามองดูแต่ภายนอกแล้วจะเห็นว่าท่านมีศรัทธาในพระศาสนามั่นคงดีมาก ยากที่จะหาพระรูปใดเท่าเทียมท่านได้

ยากอย่างไร ? ท่านเล่าว่า

ครั้งหนึ่ง ท่านมีศรัทธาแก่กล้าเก็บตัวปฏิบัติอยู่แต่ในถ้ำเพียงรูปเดียว ไม่ยอมพบปะใครเลยถึง ๒ ปีเต็ม หลังจากนั้นท่านก็อุทิศอวัยวะถวายพระพุทธเจ้า ด้วยการตัดนิ้วนางกับนิ้วก้อยออกข้างละสองนิ้ว และตัดใบหูอีกสองข้าง การกระทำเยี่ยงนี้คือการยอมตัดนิ้วมือถึง ๔ นิ้ว และตัดใบหูอีก ๒ ข้าง ถ้าใครไม่มีศรัทธาอย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยวจริงจังไม่มีความเสียสละอย่างยอดยิ่งแล้วจะทำได้หรือ ?

อุ๊ย !, เพียงแต่นึกก็ยังหวาดเสียววูบ ถ้าเป็นผู้เขียนใครจะมาขอตัดนิ้วตัดใบหูจริงๆ ก็จะขอให้เขาตัดคอเสียเลยยังจะดีกว่า ไม่ต้องมาทรมานหรือเจ็บปวดเป็นเวลานาน พระรุ่นหลานให้ความเห็นว่า ช่างน่าแปลกประหลาดใจมาก ท่านรูปนี้ยอมเสียสละตัดนิ้วและตัดหูตัวเองได้ แต่ท่านไม่ยักกะยอมตัดความโกรธ ซึ่งเกาะกินใจท่านมานานแสนนานแฮะ ! (ท่านเป็นคนขี้โกรธ) หลวงจีนบวชไทยรูปนี้ ท่านเป็นคนที่มีโทสะร้ายกาจมาก และไม่ร้ายแต่เฉพาะปากเท่านั้น มือของท่านก็ร้ายด้วย ท่านโกรธขึ้นมาแต่ละที ก็ตีดะไม่เลือก แม้กระทั่งแม่ชีชราที่เป็นคนครัวทำอาหารให้ท่านมานานขัดใจขึ้นมาท่านก็ตีเอาปางตาย ดูเอาเถิด ท่านอุตส่าห์โกนหัวเข้ามาบวช อุตส่าห์หาเงินมาก่อสร้างถ้ำเป็นเงินถึงร้อยล้าน ยอมเก็บตัวปฏิบัติคนเดียวถึง ๒ ปี ยอมตัดนิ้วตัดหูแสนเจ็บปวดและทรมาน ท่านยังสามารถทำได้ แต่ความโกรธอันร้ายกาจที่ทำลายตัวท่านอยู่ทุกวันคืน ท่านกลับไม่คิดจะฆ่าหรือทำลายมัน ช่างน่าขันจริง ! อย่างรายนี้จะเรียกว่า ตัวรอดแต่ติดหางหรือเปล่า ?

แล้วท่านผู้อ่านละ เคยบริจาคทรัพย์ทำบุญมามากมายเคยไปร่วมบำเพ็ญกรรมฐาน บวชชีพราหมณ์ ชีพุทธมามากมายแล้ว มีอาการดังที่เล่ามานี้บ้างหรือเปล่า ? คติจากเรื่องนี้ น่าจะมีต่อไปอีกสักหน่อยว่า การปฏิบัติธรรมในทางศาสนาพุทธนี้ จะปฎิบัติธรรมเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งหรือธรรมะตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ กล่าวคือ ยังไม่อาจจะละความโลภ โกรธ และหลงได้ จะต้องทำพร้อมกันไปหลายตัว อย่างเช่น เรามีแต่ศรัทธา คือ สามารถที่จะเสียสละวัตถุอะไรได้มากมายหลายล้าน แต่ถ้าไม่เจริญสติ สมาธิและวิปัสสนาให้เกิดปัญญาแล้ว กิเลสตัณหามันก็จะไม่มีทางเบาบาง หรือหมดไปได้เลย มิหนำซ้ำเผลอๆ มันกลับจะยิ่งงอกงามกว่าเก่าเสียอีกด้วย เช่น เราลงทุนสร้างวัด สร้างโบสถ์ ศาลา กุฏิ หรืออะไรก็ตาม แล้วก็ยังคิดว่า “เราสร้าง” หรือ “มันเป็นของเรา”

เสร็จแล้วก็ห่วงและหวง ว่ามันเป็นของเราถึงขนาดว่า บางทีเจ้าอาวาสเอากุฏิไปให้พระองค์ที่เราไม่ชอบอยู่ เราก็ไม่พอใจ อยากให้ท่านย้ายไปอยู่กุฏิอื่น พระที่เป็นนักก่อสร้างบางรูป สร้างวัดแล้วก็ไปไหนไม่ได้ กลัวคนอื่นจะมาอยู่ กลัวคนจะมาทำสกปรก แม้ใครจะมาขออยู่หรือแม้พระจรจะมาขอพักเพียงคืนสองคืนก็ยังไม่ได้ เป็นต้น ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่า กิเลส คือ ตัวมัจฉริยะ คือความตระหนี่หวงแหนมันเพิ่มเข้ามา ซึ่งแต่ก่อนจะสร้างมันไม่มี

อย่างในกรณีถ้ำเขาลูกช้างนี้ เจ้าสำนักท่านหวงแหนมาก ใครจะมาขอพักอาศัยท่านก็ไม่ค่อยจะให้ เพราะท่านถือว่าท่านสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านเอง เออ ! ... ตายแล้วท่านคงจะไม่พ้นเป็นดิรัจฉานเฝ้าถ้ำนี้เป็นแน่
น่าอนาถใจหนอ !…..

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-dhammaraksa/-15.html