สงเคราะห์โลงศพฟรี สงเคราะห์เผาศพฟรี สงเคราะห์ลอยอังคารฟรี แก่ผู้ยากไร้ไร้ญาติ


ศีลปริทัศน์

ศีล จัดว่าเป็นกระบวนธรรมที่พัฒนาชีวิตขั้นต่ำสุด คือ พัฒนากายและวาจา ถ้าขั้นนี้ยังพัฒนาไม่ได้
การพัฒนาจิตหรือปัญญาก็ยิ่งจะทำได้ยาก นอกจากจะทำตาม “รูปแบบ” หรือ “ค่านิยม” เท่านั้น

ศีล เป็นพื้นฐานของความดีเบื้องต้น เช่นเดียวกับความกตัญญู ที่เป็นพื้นฐานของความดีเบื้องสูง ถ้าขาดศีลเสียแล้วความดีต่างๆ ก็ย่อมจะปลูกฝังยาก หรือปลูกฝังไม่ขึ้นเอาเลยทีเดียว
ศีล จัดว่าเป็นธรรมที่ช่วยป้องกันภัย และเวรต่างๆ ที่เกิดจากการแสดงออกมาทางกายวาจาได้อย่างแท้จริง

ศีล นอกจากช่วยไม่ให้เกิดความผิดปกติทางกายและวาจาในปัจเจกชนแล้ว ยังช่วยให้สังคมทั้งส่วนย่อยและ ส่วนรวม ได้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขตามอัตภาพอีกด้วย

ศีล ช่วยให้ผู้ที่รักษาอยู่ในชาติก่อนๆ ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และยังช่วยให้ผู้รักษาศีลในชาตินี้แล้ว ตายไปในชาติหน้าก็ย่อมจะไปเกิดเป็นมนุษย์อีกด้วย

ศีล แม้ว่าจะรักษาเพียง ๕ ข้อ (ศีล๕) ก็เป็นหลักประกันได้อย่างแน่นอนว่า ในชาติหน้าจะไม่ไปเกิดในนรกแต่จะได้ไปเกิดใน โลกมนุษย์ หรือสวรรค์

ศีล นอกจากจะเป็นบันไดให้เกิดสมาธิได้ง่ายแล้ว ยังเป็นพื้นฐานให้การเจริญวิปัสสนาได้ผลดีและรวดเร็วด้วย

ศีล สามารถรักษาได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกอาชีพ ถ้าสมัครใจจะรักษา หรือมีปัญญาพอที่จะคิดแก้ไขแต่ถ้าอ่อนปัญญา มันก็จะรักษาแม้แต่ศีล ๕ ได้ไม่ครบทุกข้อ เช่น ชาวประมง และนายพราน เป็นต้น

ศีล ที่รักษาเป็นปกติดีแล้ว จะช่วยปิดกั้นการที่ผู้อื่นจะเพ่งเล็งในทางทุจริต หรือการกล่าวร้ายใส่ความได้อย่างดีเยี่ยม

ศีล นอกจากก่อให้เกิดความเคารพเชื่อถือ และเป็นที่เลื่อมใสของนักปราชญ์โดยทั่วไปแล้ว ยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนอีกด้วย

ศีล ที่รักษาอย่างปกติดีแล้ว จะช่วยป้องกันมลทินโทษและความมัวหมองต่างๆ ทั้งในเรื่องส่วนตัว ครอบครัวและสังคมได้อย่างดี

ศีล ช่วยให้นักการค้าเจริญรุ่งเรือง เพราะสร้างความเชื่อถือ และไว้วางใจในคุณภาพของสินค้า และความตรงต่อเวลาของการนัดหมาย

ศีล ถ้ามีอย่างบริสุทธิ์หมดจดในตัวของนักบวช ย่อมก่อให้เกิดความสวยงามแก่หมู่คณะ และสร้างความศรัทธาและเลื่อมใสทั้งแก่ส่วนตัว และส่วนรวมแก่สาธุชนทั่วไป

ศีล จะเกิดมีขึ้นอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ด่างไม่พร้อย ไม่มัว ไม่เศร้าหมอง จะต้องมีเบญจธรรม (เมตตา) สัมมาชีพ สทารสันโดษ (กามสังวร) สัจจะ และ (มัชวิรัติ) ร่วมกำกับด้วย

ศีล ช่วยให้สังคมโลกและสังคมธรรมอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข (ไม่ต้องคอยหวาดระแวง ว่าเพื่อนจะคอยแอบแทงข้างหลัง คอยจ้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ หรือเลื่อยขาธรรมมาสน์กัน)

ศีล จะช่วยลดปัญหาอาชญากรรมและความชั่วประเภทต่างๆ ได้อย่างสิ้นเชิง เช่น ปล้น จี้ ข่มขืน ฆ่า หลอกลวง ยักยอก ค้าของปลอม ค้าสิ่งเสพติด ฉ้อราษฎร์บังหลวง คอร์รัปชั่น.….

ศีล ที่สังวรระวังดีแล้ว จะช่วยเป็นฉนวนป้องกันนักบวชมิให้เกิดคาวโลกีย์เกี่ยวกับสีกาได้อย่างดีเยี่ยม

ศีล เป็นพรหมจรรย์ที่ช่วยกำกับให้นักบวชงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และงดงามในที่สุดตลอดไป

ศีล ที่นักบวชรักษาอย่างบริสุทธิ์ (ไม่ใช่มือถือสากปากถือศีล หรือฤาษีลวงเหี้ย) จะไม่เป็นเหตุให้ประกอบเดรัจฉานวิชาหากิน ไม่ซื้อถูกขายแพง (ขายพระพุทธเจ้ากิน) ไม่ประพฤติลวงโลก ไม่หน้าไหว้หลังหลอก

ศีล ที่รักษาบริสุทธิ์ดีแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความกล้าหาญไม่หวาดหวั่น ไม่หวาดเสียว ไม่สะดุ้งกลัว เมื่อเข้าไปสู่ป่าช้า ป่าชัฏ หรืออยู่ในสถานที่สงบสงัดท่ามกลางป่าเขา

ศีล นอกจากเป็นที่พึ่งของคนในโลกนี้แล้ว ยังเป็นที่พึ่งของคนชราในโลกหน้าได้อย่างดีอีกด้วย

ศีล เป็นเครื่องชำระล้างมลทินโทษทางกายและวาจาให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากเครื่องเศร้าหมองได้อย่างวิเศษและแท้จริง

ศีล สมาธิและปัญญาเปรียบดังขาหยั่ง ๓ ขา ต้องพัฒนา ให้เท่าเทียมกัน ถ้าขาดขาใดขาหนึ่งก็ไม่สำเร็จประโยชน์ในกระบวนการดับทุกข์ (พึงดูตัวอย่างศีล สมาธิ และปัญญาในอริยมรรคมีองค์ ๘)

ศีล ช่วยให้ผู้บริจาคทานได้รับอานิสงส์ของทานครบวงจร (วัตถุ ทายก และปฏิคาหกมีศักยภาพ)

ศีล ที่รักษาดีแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความแกล้วกล้า สง่างาม เมื่อเข้าไปสู่ท่ามกลางสมาคมของบัณฑิต

ศีล เป็นอาภรณ์อันยอดเยี่ยม เ ป็นกลิ่นที่หอมหวนทวนลม ชวนให้วิญญูชนอยากสูดดม แม้เทพเทวาก็ปรารถนาจะเข้าใกล้

ศีล ที่นักบวชรักษาดีแล้วจะเป็นเสมือนแม่เหล็กดึงดูดให้ชาวบ้านแม้อยู่ไกลแสนไกล ก็ปรารถนาจะมาทำบุญ

ศีล ที่รักษาอย่างบริสุทธิ์และถูกต้อง ย่อมก่อแต่คุณให้โดยส่วนเดียวทั้งในโลกนี้ โลกหน้า และทุกโลก

ศีล ถ้ารักษาเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าระดับไหน และจะรักษาให้อุกฤษฏ์เพียงใดก็ตาม ก็ไม่สามารถจะใช้ดับทุกข์ทางใจหรือความทุกข์ทั้งปวงได้ จะต้องเจริญธรรม คือ สติ สมาธิ และวิปัสสนา (ปัญญา) ควบคู่พร้อมกันไปด้วยจึงจะพิชิตความทุกข์ได้ตามขั้นตอน และถึงขั้นเด็ดขาดสิ้นเชิง (เพราะศีลรักษาหรือควบคุมเฉพาะกายกับวาจาเท่านั้น แต่สติ สมาธิ และปัญญานั้น สามารถควบคุมได้หมดทั้งกาย วาจา และใจ)

ศีล แม้ว่าจะรักษาเฉพาะกายกับวาจาเท่านั้นก็ตาม แต่ผู้ที่เจริญธรรม คือ สติ สมาธิ และปัญญานั้น แม้ว่าจะใช้ดับทุกข์ได้สิ้นเชิงก็จริง ถ้าหากว่าไม่มีศีลรองรับคุณธรรมเหล่านั้นไว้แล้ว สติ สมาธิ และปัญญาก็ไร้ค่า (ดับทุกข์ได้แต่ไม่สิ้นเชิง)

ศีล ยังไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ศีลจึงช่วยดับทุกข์ ภัย เวรได้เฉพาะทางกายและวาจาเท่านั้น ถ้าต้องการดับทุกข์ทางใจตามขั้นตอน หรือโดยสิ้นเชิงก็จะต้องเจริญสมาธิ (สติ) และปัญญาควบคู่กันไปด้วย

ศีล แม้ว่าจะมองดูเป็นของต่ำในสายตาของนักสมาธินิยม นักวิปัสสนานิยม หรือนักปัญญานิยมก็ตาม แต่ศีลก็เป็นของต่ำชนิดขาดไม่ได้ สำหรับการเจริญปัญญาขั้นวิมุติเปรียบเหมือนข้าว กับกับข้าว ฉะนั้น

ศีล จะมีศักยภาพครบวงจรตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ จะต้องมีสมาธิและปัญญาร่วมด้วย ถ้ามัวแต่รักษาศีลอยู่อย่างเดียว มันก็จะไม่พ้นการย่ำเท้าอยู่กับที่ (ไม่ได้สัมผัสสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา)

ศีล ที่รักษาดีแล้วจะเป็นสะพานเดียว ที่ทอดไปสู่ประตูพระนิพพาน ทางอื่นไปไม่ได้

ศีล แม้ว่าจะเป็นทางดำเนินไปสู่นิพพานก็จริง แต่ถ้ารักษาศีลแบบขาดปัญญา คือ เป็นศีลชนิดงมงายประเภท “สีลัพพตปรามาส” แล้ว ศีลนั่นแหล่ะจะกลายสภาพเป็นกำแพงแก้วขวางกั้นพระนิพพานไปเสียเอง

ดังนั้น เพื่อปลอดจากสีลัพพตปรามาส ในการรักษาศีลจึงควรที่จะใช้ปัญญาเข้าประกอบด้วยตั้งแต่เริ่มแรก และตลอดไป

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-dhammaraksa/-10-2.html