สงเคราะห์โลงศพฟรี สงเคราะห์เผาศพฟรี สงเคราะห์ลอยอังคารฟรี แก่ผู้ยากไร้ไร้ญาติ


ชำระศีลให้ดีก่อนจึงค่อยเจริญวิปัสสนา

สมัยนั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ครั้งนั้นมีภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อปลีกตัวออกไปปฏิบัติคนเดียวด้วยความไม่ประมาท

พระพุทธองค์ตรัสถึงบุพกิจ ก่อนที่จะเจริญวิปัสสนาว่า “ภิกษุ ! ก่อนอื่นเธอจงทำเหตุเบื้องต้น แห่งกุศลธรรมให้บริสุทธิ์ก่อน เหตุเบื้องต้นของกุศลธรรม คือ ศีลที่บริสุทธิ์ดี และความเห็นตรง

เมื่อใด ศีลของเธอบริสุทธิ์ดีแล้ว และความเห็นของเธอก็ตรงดีแล้ว เมื่อนั้นเธออาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้วพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ (วิปัสสนา) มีกาย เวทนา จิต และธรรมต่อไป

ภิกษุ! เมื่อใดเธออาศัยศีล และตั้งอยู่ในศีลแล้วจะเจริญ สติปัฎฐาน ๔ เหล่านี้ โดยส่วน ๓ อย่างนี้

เมื่อนั้น เธอพึงหวังความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายอย่างเดียวตลอดคืน หรือวันอันจะมาถึง ไม่มีความเสื่อมเลย”

ภิกษุนั้นยินดี ชื่นชม รับไปปฏิบัติอยู่ไม่นาน ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในโลก

ภิกขุสูตร ๑๙/๑๘๕


ส่วนเสริม

พระสูตรนี้ น่าจะเป็นแบบอย่างที่ดี สำหรับผู้ที่จะเจริญวิปัสสนา หรือแม้แต่การเจริญสมถะหรือสมาธิก็ตามของทุกท่านได้อย่างดียิ่ง เหตุผล เพราะปัจจุบันนี้มีผู้สอนธรรมะแหวกแนวคำสอนของพระพุทะเจ้าอยู่มาก ยากแก่ผู้ที่ไม่รู้จริงจะแยกแยะได้ว่าแนวไหนผิด ? แนวไหนถูก ? และที่ว่าผิดถูกนั้นมากน้อยแค่ไหนและอย่างไร ? จะกลายเป็นการกึ่งสะกดจิต ความรู้ความเห็นอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะกลายเป็น “เขาสร้าง” แล้ว “ยัดเยียดใส่” ให้ทั้งสิ้นไม่ได้เกิดจากตัวของเราเองเลย

สิ่งที่ได้จึงเป็นของเก๊ของปลอม สวรรค์ก็ปลอม พระอรหันต์ก็ปลอม พระพุทธเจ้าก็ปลอม ดวงอะไรก็ปลอม แม้นิพพานก็ปลอมด้วย สิ่งที่ท่านจะได้แน่ๆ ก็คือ การตกเป็นทาสทางใจ หรือทาสเสพติดของเขาไปชั่วชีวิต ดังนั้น ท่านที่สนใจการปฏิบัติธรรมทางจิต ก็อย่าได้ถือหรือเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยผิดไปแล้วอาจกลับตัวได้ บางคนก็กลับไม่ได้ เพราะไม่รู้ตัวว่าเดินทางผิด บางคนแม้ว่าจะกลับตัวได้ แต่ก้ได้หันหลังให้ศาสนาโดยสิ้นเชิงเพราะไปมองพระแบบเหมาโหล !…..

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-dhammaraksa/-3-2.html