สงเคราะห์โลงศพฟรี สงเคราะห์เผาศพฟรี สงเคราะห์ลอยอังคารฟรี แก่ผู้ยากไร้ไร้ญาติ


รวม" ธรรมะโดนใจ" ของหลวงปู่ดู่

๑. ครูอาจารย์ดีๆ มีอยู่มากก็จริง แต่สำคัญที่เราต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มาก นั่นแหละจึงจะดี

๒. การปฏิบัติ ถ้าหยิบตำราโน้นนี้มาสงสัยถาม มักจะโต้เถียงกันเปล่า
โดยมากชอบเอาจากอาจารย์โน่นนี่...ว่าอย่างนั้นอย่างนี้มา
การจะปฏิบัติให้รู้ธรรมเห็นธรรม ต้องทำจริง จะได้อยู่ที่ทำจริง เอาให้จริงให้รู้
ถ้าไปเรียนกับครูอาจารย์อื่นโดยยังไม่ทำให้จริงให้รู้ ก็เหมือนดูถูกดูหมิ่นครูบาอาจารย์

๓. การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้
ศีลคือ ดิน
สมาธิ คือ ลำต้น
ปัญญาคือ ดอกผล
เราต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงาม ก็ต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน
และต้องคอยระมัดระวังมิให้ตัวหนอนคือ โลภ โกรธ หลง มากัดกิน

๔. ถ้าเป็นโลกแล้ว จะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา
แต่ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเข้ามาหาตัวเอง
เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดในตัวของเรานี้ทั้งนั้น

๕. “โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม”
เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้
ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง
... ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง

๖. ให้ พยายามภาวนาไว้เรื่อยๆ ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน ทำได้ตลอดเวลา...ถ้าเราจะทำ
ดีกว่านั่งร้องเพลง จะซักผ้า หุงข้าว ต้มแกง นั่งรถ ทำได้ทั้งนั้น
เขาเรียกว่า พยายามเกลี่ยจิตใจให้เข้าที่
ถ้าจะรอเวลาปฏิบัติ (นั่งสมาธิภาวนา) ทีเดียวมันยาก เพราะจิตมันแตกมาตลอดวัน

๗. ของดี อยู่ที่ตัวเรา ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต

๘. คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร

๙. ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เหมือนรสแกงส้ม

ศีล เปรียบได้กับรสเปรี้ยว
ความเปรี้ยวทำหน้าที่กัดกร่อนความสกปรกออก
ทำนองเดียวกัน ศีลจะช่วยขัดเกลาความหยาบออกจากทางกาย วาจา ใจ

สมาธิ เปรียบได้กับรสเค็ม
เพราะความเค็มช่วยรักษาอาหารต่างๆ ไม่ให้เน่าเสีย
สมาธิก็เหมือนกัน สามารถรักษาจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีได้

ปัญญา เปรียบได้กับรสเผ็ด
เพราะปัญญามีลักษณะคิด อ่าน ตริตรอง โลดแล่นไป เพื่อขจัดอวิชชาความหลง

๑๐. การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น
หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย เลยไม่เป็นอีกเหมือนกัน
อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า
ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้ ภาวนาเรื่อยไป
เหมือนกับเรากินข้าว ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆ กินไป มันก็อิ่มเอง
ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ
หน้าที่ของเราคือภาวนาไป ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัว
แล้วเราจะรู้ชัดว่า อะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป

๑๑. รวย กับ ซวย...มันใกล้กันนะ
จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ กลัวคนจะมาจี้มาปล้น หมดไปก็เป็นทุกข์อีก
ไปคิดดูเถอะ มันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอา “ดี” ดีกว่า

๑๒. ความสำเร็จนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทานให้
หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง
ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่าง รับรองว่า ต้องสำเร็จ...ไม่ใช่จะสำเร็จ
พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้ว
ครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำตามแบบ เป็นตัวอย่างให้เราดู
อัฐิของท่านก็เลยกลายเป็นพระธาตุกันหมด

๑๓. รอให้แก่เฒ่า หรือ จวนตัวแล้วจึงสนใจภาวนา
ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำตอนเรือ หรือ แพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์

๑๔. ที่ว่านิมิต แสงสว่าง เป็นกิเลสก็ถูก
แต่ เบื้องแรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส (อาศัยกิเลสละเอียดไปละกิเลสอย่างหยาบ)
แต่ไม่ได้ให้ติดแสงสว่าง หรือ หลงแสงสว่าง
ท่านให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เกิดประโยชน์
เหมือนอย่างกับเราเดินทางผ่านไปในที่มืด ก็ต้องอาศัยแสงไฟช่วยนำทาง
หรืออย่างว่าเราจะข้ามแม่น้ำ ก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ
เมื่อถึงฝั่งแล้ว เราจะแบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไปด้วยทำไม

 

***จากบทความของ คุณสิทธิ์
ที่มา http://www.luangpordu.com/